Question & Answer
A : ใช้เทคนิคกรีดยาวในการทำศัลยกรรมตาสองชั้น เนื่องจากการทำด้วยเทคนิคกรีดยาวจะช่วยในการลดการเกิดหนังตาที่หางตาตกได้มากกว่าการกรีดสั้น และยังสามารถช่วยในการนำไขมันบริเวณชั้นตาออกได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
A : ตาของคนปกติ จะมีการหย่อนคล้อยเป็นเรื่องธรรมชาติ พออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ หนังตาก็จะเริ่มค่อยๆหย่อนคล้อยลงมา การที่เรากรีดยาวจะเป็นการตัดเอาหนังตาส่วนเกินออก ก็จะช่วยให้หนังตาหย่อนคล้อยช้าลงได้
A : การพักฟื้นจะแนะนำอยู่ที่ประมาณ 3 วัน ให้เลือดหยุดสนิท จึงจะใช้ชีวิตตามปกติได้ เนื่องจาก 3 วันแรก หากไม่ทำการพักฟื้นอาจทำให้แผลปริ ฉีกจากกันได้
A : ในแต่ละคนการตัดไหมอาจไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับการหายของแผล แต่โดยปกติแล้ว จะตัดไหมหลังจากทำตาสองชั้น ประมาณ 10 วัน
A : การเปิดหัวตา คือการตัดแต่งหนังตาที่ปิดบริเวณหัวตา ซึ่งดึ่งรั้งบริเวณหัวตาออก ทำให้ตาโตและดูกว้างขึ้น เห็นชั้นตาบริเวณหัวตาชัดขึ้น ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
ศัลยกรรมปากกระจับ
A : คนไข้ที่จัดฟัน สามารถทำปากกระจับได้ตามปกติ แต่อาจรู้สึกตึงเวลาอ้าปากกว้าง ๆ เนื่องจากแผลยังไม่เข้าที่
A : หลังจากทำปากกระจับไป ควรดูแลตัวเองดังนี้
1. ประคบเย็น 2-3 วันแรก
2. บ้วนปาก และใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงนิ่ม ๆ และแปรงอย่างเบามือ
3. งดรับประทานอาหารที่มีรสจัด ร้อนจัด และเย็นจัด
4. ห้ามกระทบกระเทือนปากแรง ๆ
5. นวดริมฝีปากอย่างสม่ำเสมอ และเบามือ เพื่อลดผังพืด และเป็นก้อนไตได้
6. บำรุงริมฝีปากด้วยวาสลีน เพื่อช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น และไม่แห้งแตก
A : จะคลายตัวออกมาอีก เนื่องด้วยการตัดปากไป ร่างกายจะค่อย ๆ สร้างเนื้อบริเวณส่วนที่ตัดออกไปออกให้มีความสมดุล และทำให้ปากดูเต็มมากยิ่งขึ้น
A : ปากจะบวม 5 – 7 วัน การทำปากกระจับที่ WSN Clinic ใช้เทคนิค และความละเอียดอ่อนในการทำปากกระจับ ทำให้มีการบวมที่น้อยมากทำ
Q : ทำปากกระจับไป ต้องประคบอุ่น ประคบเย็นอย่างไร ?
ศัลยกรรมเสริมจมูก
A : การรองปลายเนื้อเยื้อเทียมนั้น ขึ้นอยู่กับเนื้อบริเวณจมูก หากเนื้อจมูกมีมาก ก็อาจไม่จำเป็นต้องรองปลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคุณหมอด้วยนะคะ
A : หลังจากที่เสริมจมูกไปประมาณ 3 วันถึงจะแนะนำให้ใส่แว่นได้ เพราะยังมีอาการบวมอยู่ แต่ระยะเวลาที่เหมาะสมอยู่ที่หลัง 1 เดือนจะดีที่สุด ทั้งนี้ควรเป็นแว่นตาที่มีน้ำหนักเบาเพื่อลดการกดทับบริเวณจมูก
A : สามารถเสริมจมูกได้ แต่ต้องเป็นระยะที่ควบคุมโรคได้แล้ว หากยังมีอาการอยู่ หรือพึ่งตรวจพบว่าเป็นไซนัส แนะนำให้ทำการรักษาไซนัสก่อนจึงเสริมจมูกนะคะ
A : หากการจัดฟันต้องมีการถอนฟันเยอะ ดึงฟันเยอะ หรือต้องมีการตัดกราม แนะนำให้จัดฟันให้เสร็จก่อน หรือเสริมจมูกก่อนจัดฟัน เพราะการจัดฟันอาจทำให้มีผลต่อรูปหน้าได้ การวางตำแหน่งของริมฝีปากบน คาง และปลายจมูกอยู่ตรงกัน จะทำให้รูปหน้าดูสวยงามที่สุดค่ะ
A : สามารถเสริมจมูก พร้อมกับทำตาพร้อมกันได้ และสามารถทำ 3 – 4 อย่างพร้อมกันได้เลย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเตรียมตัว การงดแอลกอฮอล์ การงดวิตามิน การพักผ่อนให้เพียงพอ
ศัลยกรรมเสริมคาง
A : การเสริมคาง มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง ทำไปแล้วสามารถอยู่ได้ถาวร หากไม่มีปัญหาเบี้ยวเอียง
ส่วนฟิลเลอร์ เป็นสารเหลวที่เติมเต็ม อยู่ไม่ได้นาน ต้องหมั่นคอยเติมอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังสามารถทำให้ฟิลเลอร์ไหลย้อยผิดรูปไปหากทำการดูแลไม่ดี
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ และบุคคล ว่าชอบการเสริมคาง หรือฟิลเลอร์มากกว่ากันค่ะ
A : โดยปกติแล้วเสริมคางจะใช้เวลากว่าจะเข้าที่อยู่ที่ ประมาณ 1 – 3 เดือนขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของแต่ละบุคคล
A : ที่ WSN Clinic ใช้เทคนิคเสริมคางแบบ แผลนอก เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากเศษอาหารและน้ำลายในช่องปาก และวางตำแหน่งของซิลิโคนได้อย่างแม่นยำ มีขนาดแผลที่เล็กดูแลรักษาง่ายค่ะ
A : ซิลิโคนขาสั้น เหมาะสำหรับลูกค้าที่มีความความต้องการให้คางผู้ที่ต้องเน้นเฉพาะบริเวณปลายคางให้ยาวขึ้น และมีพื้นฐานโครงสร้างคางค่อนข้างดีเป็นทุนเดิม และต้องการปรับสัดส่วนบนใบหน้าให้สมบูรณ์มากขึ้น ใบหน้าดูยาวขึ้น จึงควรใช้ซิลิโคนที่มีลักษณะนิ่ม ปานกลาง
ซิลิโคนขายาว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางตัด คางบุ๋ม คางถอย คางเหลี่ยมมากๆ ตัวซิลิโคนจึงต้อง ครอบคลุมถึงรอยต่อแนวกราม รับกับกรอบหน้า ทำให้รูปหน้าได้สัดส่วนมากขึ้น.
A : แผลเป็นขึ้นอยู่กับบุคคล บางรายอาจจะมีผิวที่ส่งผลต่อการเกิดแผลคีรอยด์ได้ง่ายกว่า แต่แผลของการทำคางค่อนข้างเล็ก หากเป็นคีรอยด์ จะค่อย ๆ หายประมาณ 1 – 3 เดือน การดูแลเป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องหมั่นทายาลดรอยแผลเป็นอย่างสม่ำเสมอ ทุกเช้า – เย็น.
บริการอื่น ๆ
A : หากคนไข้เป็นคนผอมมากๆ แนะนำให้ฟิลเลอร์ เหมาะกว่า เพราะหากเลือกเติมไขมันอาจจะต้องเติมหลายรอบ เนื่องจากไขมันไม่เพียงพอในการเติมครั้งเดียว ไขมันเป็นสิ่งที่อยู่ในร่างกายของเราจะสามารถอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์
A : ขึ้นกับตำแหน่งที่ฉีด ความลึกของริ้วรอย และรูปหน้าของแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประเมินของคุณหมอ แต่โดยทั่วไป
ฟิลเลอร์ ใต้ตา 1-3 cc
ฟิลเลอร์ ร่องแก้ม 1-3 cc
ฟิลเลอร์ คาง 1-2 cc
ฟิลเลอร์ หน้าผาก 5 – 10 cc
ฟิลเลอร์ ขมับ ข้างละ 2-4 cc
ฟิลเลอร์ แก้มตอบ ข้างละ 1-2 cc
ฟิลเลอร์ ปาก 1-2 cc
A : การฉีดฟิลเลอร์นั้นปลอดภัย หากอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชียวชาญ และใช้ฟิลเลอร์ที่ผ่านมากตราฐานของ อย.
A : ฟิลเลอร์อยู่ได้ประมาณ 8 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์แท้จะสลายหมด 100% ไม่มีสารตกค้าง และการดูแลรักษาของแต่ละท่าน
A : สำหรับโบท็อกริ้วรอย จะเริ่มตึงขึ้นภายใน 3-4 วัน และตึงเต็มที่ใช้เวลา 14 วัน ส่วนโบท็อกลดกราม ประมาณ 1 อาทิตย์ จะเริ่มกัดฟันแล้วนิ่มลง พอ 2 อาทิตย์ กัดฟันแล้วนิ่มไม่เป็นก้อน และกรามจะยุบเต็มที่ใช้เวลา 2-3 เดือน
A : ฟิลเลอร์ ใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มผิวในบริเวณที่มีปัญหาร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา ขมับ
โบท็อกซ์ ใช้ฉีดเพื่อลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งโบท็อกซ์จะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ผิวหนังก็จะตึงขึ้น ไม่เกิดรอยพับ
A : การตรวจเช็คโบท็อกซ์แท้ง่าย ๆ คือ
1. ต้องมีฝาพลาสติกใสปิดทับอยู่ด้านบน
2. ด้านข้างต้องมีตัวหนังสือภาษาไทย แสดงเลขที่อย. มีวันผลิต และวันหมดอายุที่กล่องกับขวดตรงกัน
3. มีข้อมูลระบุว่านำเข้าโดยบริษัทใด
4. คว่ำขวดแล้วต้องเป็นคราบยาที่ก้นขวด ต้องผสมน้ำเกลือเพื่อนำออกมาใช้งา
A : ได้ครับ แต่ควรเว้นระยะห่างหลังจากฉีดโบท็อกซ์ประมาณ 2 อาทิตย์ แล้วค่อยทำ Hifu เพื่อป้องกันผลกระทบของตัวยา